World without war. - World without war. นิยาย World without war. : Dek-D.com - Writer

    World without war.

    \"ลาก่อนเพื่อนรัก แล้วเราจะได้พบกันอีก เมื่อโลกนี้ไม่มีสงครามอีกต่อไป เราสัญญา\"

    ผู้เข้าชมรวม

    646

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    646

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  หักมุม
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 ธ.ค. 46 / 10:31 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      “สัญญานะ ถ้ายังมีชีวิตรอดจนถึงวันที่สงครามจบสิ้น เราจะมาพบกันอีก”
          
                      คำสัญญาด้วยเสียงเล็กๆลอยไปตามสายลม เด็ก2คนยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวกันไว้ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีน้ำตาลอ่อน ภายใต้ท้องฟ้าสีเทาที่มีเมฆทึมคำรามก้องอยู่ แต่เด็กทั้งสองก็ไม่ใส่ใจ
          
      เด็กตัวน้อย คนหนึ่งร่าเริง อีกคนเงียบขรึม
          
      ทั้ง2คนสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป
          
      หากแต่สงครามคือสิ่งที่แยกพวกเขาออกจากกัน
          
      แต่เขาเชื่อ ว่ามิตรภาพจะไม่ถูกลบเลือนด้วยความห่างไกลหรือกาลเวลา
          
      รอหน่อยเถอะฟ้า เราจะกลับไปหานายอีกครั้ง ณ ที่แห่งคำสัญญาของพวกเรา
          
      เมื่อสงครามทั้งหมด จบสิ้นลง เราสัญญา
                                                                           [<>]~[<>]~[<>]

          “เป้าหมายอยู่ที่พิกัด142.940 ยืนยัน142.940 ทุกหน่วยเตรียมพร้อมโจมตี รอคำสั่ง ย้ำ รอคำสั่ง...”
          
                      เสียงวิทยุซ่าๆดังกรอกเข้ามาในรูหูจากวิทยุสื่อสารที่ติดอยู่กับหูซ้ายของเขา ศรยกมือขึ้นปรับมันเป็นครั้งที่ร้อยห้าสิบขณะที่ขดตัวหลบอยู่ข้างกำแพงอิฐผุพัง และแล้วสิ่งที่รอก็มาถึง สัญญาณไฟสีแดงกระพริบขึ้นที่จอแว่นคอมพิวเตอร์ เขาลุกขึ้น กระโดดข้ามกำแพง และออกวิ่งลัดเลาะไปตามซากปรักหักพังต่างๆพร้อมกับเพื่อนทหารนับร้อย มุ่งสู่อาคารสีดำทะมึนเบื้องหน้า
          
                      ศรไปถึงตัวตึกได้และใช้เครื่องมือที่แขนขวาปลดผนังด้านนอกออกอย่างรวดเร็ว ท่าทางคล่องแคล่วเหมือนฝึกมาแล้วนับพันครั้ง ไม่นาน แผ่นเหล็กก็หลุดออกมาชั้นแล้วชั้นเล่าจนพบทางเดินมืดสลัวด้านใน ทันทีที่เขาโหนตัวเข้าไปในนั้น เสียงสาดกระสุนก็ดังขึ้นภายนอกอาคาร ศรพยายามไม่สนใจมันแล้วเดินเลียบผนังไปเรื่อยๆ รู้ดีว่าตนเองอยู่ที่ไหนเพราะสมองกึ่งดิจิตอลของเขาได้จดจำแผนผังตึกนี้ไว้ทั้งหมดแล้ว
          
                      ในที่สุด เขาก็มาถึงห้องควบคุม บริเวณนี้เงียบผิดปกติ การรักษาความปลอดภัยหละหลวมเกินคาด หรือไม่ก็มัวไปยุ่งอยู่กับการป้องกันทหารที่บุกเข้ามาจากภายนอกตึกเสียหมด แต่การจู่โจมนั้นเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง ตัวจริงคือเขาต่างหาก
          
                       ศรผ่านเข้าไปในห้องได้อย่างง่ายดาย ตามที่คิดไว้ ห้องนี้ไม่มีใครอยู่ ทุกอย่างถูกควบคุมด้วยสมองกลล้วนๆ เขาถ่ายข้อมูลทุกอย่างจากหน่วยความจำหลักของระบบควบคุมใส่ลงในคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ฝังอยู่ในแขนซ้าย เตรียมโอนเข้าสู่สมองและส่งมอบให้เบื้องบนต่อไป เขาถอนหายใจ งานนี้ง่ายเกินคาด แต่แล้วศรก็รู้ว่าตนคิดผิดเมื่อสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทันทีที่เขาตัดการเชื่อมต่อกับระบบ
          
                       ด้วยความรวดเร็ว ศรคว้าระเบิดพลาสติกจากกระเป๋าและแปะเข้าเครื่องคอมพ์หลักของระบบ เขาตั้งเวลามันและเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
          
                      ไม่ทันจะพ้นประตู ศรก็ต้องพบกับห่ากระสุนที่สาดเข้ามาจากด้านนอก เขารอจนทหารเหล่านั้นเปลี่ยนแมกกาซีนแล้วจึงยิงโต้ตอบกลับไป เขาพุ่งตัวผ่านทหารที่บาดเจ็บและวิ่งไปตามทางเดินสมองเตือนว่าเขาเสียเวลามากเกินไปแล้ว มันนับถอยหลังให้โดยอัตโนมัติ
          
                      3......2......1......
          
                      บรึ้ม!
          
                      เขาถูกแรงอัดจากระเบิดไปกระแทกกับผนังและหมดสติไป

                                                                                      [<>]~[<>]~[<>]

          ฝืนฟ้าที่เทาหม่น ทุ่งหญ้าแห้งกรอบเพราะมลภาวะ และรอยยิ้มสุดท้ายของฟ้า ก่อนจะกลายเป็นนกพิราบที่กางปีกโผบินจากไป...

          สติของศรกลับคืนมา เขาพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงเหล็กในห้องสีเทาหม่น รอบข้างมีเครื่องจักรตั้งระเกะระกะเต็มไปหมด  เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างๆเขา
          
                      “ขอต้อนรับกลับมา Az-19 เช็คระบบความจำซิ” ผู้พูดเป็นชายชราร่างเล็ก สวมเสื้อคลุมยาวดูคล้ายนักวิทยาศาสตร์มากกว่าหมอ
          
                      “ผมชื่อศร อย่าเรียกรหัสได้ไหมครับดอกเตอร์” ศรพูดด้วยเสียงแหบๆ หลอดคอของเขาคงจะเสียหายไปด้วย ‘ดอกเตอร์’ยิ้มนิดหนึ่งกับคำตอบของศร
          
                      “ความจำยังใช้ได้สินะ”
          
                      เขายิ้มตอบนิดหนึ่งและพยายามยกหัวขึ้นมองร่างกายของตน ที่ปลายเตียง เครื่องจักรกำลังช่วยต่อขาข้างใหม่ให้เขาอยู่ ชายหนุ่มเหลือบมองแขนซ้ายของตนที่เหลือเพียงโครงเหล็ก คอมพิวเตอร์ในนั้นไหม้ดำปี๋ เขาถอนหายใจ นี่เป็นการเปลี่ยนอวัยวะเทียมครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ นานเท่าไหร่แล้วนับตั้งแต่กะโหลกศีรษะของเขาถูกเปลี่ยนเป็นโลหะผสม 10ปีแน่ๆที่ดวงตาสองข้างกลายเป็นวัตถุสังเคราะห์ แขนขาถูกเปลี่ยนมานับไม่ถ้วน ในโลกแห่งสงครามนี้ ทหารที่ฉลาดและมีประสบการณ์อย่างเขาเป็นที่ต้องการอย่างมาก จนคุ้มค่าที่จะรักษาชีวิตไว้
          
                       ศรจ้องมองไฟสว่างจ้าบนเพดานห้อง นี่มันกี่ปีมาแล้วนับตั้งแต่วันที่เขาสัญญากับฟ้า เมื่อไหร่กันหนอ สงครามบ้าๆนี่จะจบลงเสียที หรือเขาจะไม่มีวันได้เห็นโลกแห่งสันตินั้น ท่ามกลางกองทหารกึ่งหุ่นยนต์กึ่งมนุษย์นี้  สัญญาของฟ้าเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวความเป็นคนของเขาไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงจะกลายเป็นหุ่นรบไร้ความรู้สึก ไร้ความหวังอย่างคนอื่นๆ บางครั้งศรก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะเป็นคนเดียวในที่แห่งนี้ ที่ภาวนาให้สงครามจบสิ้นลงเสียที
          
                      เมื่อกลับมาถึงห้องพัก ศรโหลดข้อมูลที่ขโมยมาและเหลือรอดจากการระเบิดออกจากคอมพ์เก่าที่แขนซ้ายและส่งต่อให้เบื้องบน ข้อมูลที่เขาได้มานั้นมีมากพอที่จะยุติสงครามนี้ได้ ศรรอคอยคำสั่งด้วยความสบายใจยิ่งกว่าครั้งใดในรอบหลายปี เขาฆ่าเวลาด้วยการโหลดข้อมูลที่ได้มาเข้าสู่สมองกึ่งดิจิตอลของเขา ข้อมูลใหม่ๆไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อนกอปรกับเสียงวี้ดของเครื่องคอมพ์ทำให้เขาปวดหัว ระบบนั้นคงจะเก็บรักษาสิ่งต่างๆไว้มากมาย ทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ การแพทย์ การทหาร และวิชาการ  ศรตัดสินใจหยุดการโหลดข้อมูลและล้มตัวลงนอน เป็นครั้งแรกที่เขาหลับโดยไม่ฝันอะไรเลย
          
                      “ฝ่ายต่อต้านกำลังถูกกดดันหนักเพราะพวกเราได้ข้อมูลสำคัญมาไว้ในมือ ทางพันธมิตรได้ยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับการยอมแพ้ ทางฝ่ายต่อต้านเองก็ไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ”
          
                      ดอกเตอร์สรุปข่าวจากหน่วยข่าวกรองให้ศรฟังในเช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่เขานำคอมพ์เก่าที่พังแล้วมาคืน ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆเมื่อได้ยิน
          
                      “สงครามจบลงแล้วใช่ไหมครับ”
          
                      “ตามทฤษฎีน่ะใช่ ข้อมูลที่เธอได้มาเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายเรามากทีเดียว”
          
                       ศรไม่ตอบ เพราะเขากำลังนึกถึงสิ่งอื่นอยู่

                                                                           [<>]~[<>]~[<>]

          แม้ในยามที่สงครามใกล้สงบ บรรยากาศในค่ายทหารก็ยังคงวุ่นวาย  ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม การสวนสนามของทหารก็เป็นภาพที่น่าทึ่งสำหรับศร เขาพาดแขนซ้ายกับประตูรถจี๊ปอย่างสบายอารมณ์พลางมองทหารเหล่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าทุกคนต่างใช้อวัยวะเทียมที่ทำจากเหล็กและยางสังเคราะห์ เพราะการเคลื่อนไหวเหล่านั้นดูเป็นธรรมชาติเหลือเกิน ชายหนุ่มนึกขำเมื่อคิดถึงขาเทียมในสมัยก่อน เขาเองเป็นหนึ่งในคนแรกที่คิดพัฒนาอวัยวะเทียมเหล่านี้ ตอนแรกก็เพียงเพื่อให้ร่างกายของเขาคงอยู่ได้จนถึงวันที่สงครามสิ้นสุดเท่านั้น แต่มันกลับเป็นประโยชน์ต่อกองทัพได้มากกว่าที่เขาคาด
          
                      ทหารยามที่ประตูมองศรแปลกๆเมื่อเห็นบัตรประจำตัวและสัมภาระของเขา อาจเพราะทหารกึ่งเครื่องจักรส่วนใหญ่ไม่เคยออกจากค่ายยกเว้นเวลาไปรบ
          
                      อย่างไรก็ตาม ศรผ่านออกมาได้ด้วยยศของเขาและหนังสือรับรองจากเบื้องบน สงครามจบลงแล้วและเขากำลังจะไปจากที่นี่ตลอดกาล
          
                      ฟ้าที่เคยเป็นสีเทาในวันนั้น บัดนี้ยิ่งดูหมองหม่น แต่ศรไม่ใส่ใจ ท้องฟ้าไม่เคยเป็นสีฟ้าใสมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มนุษย์นั่นเองเป็นผู้ทำลายมัน เขาขับรถผ่านภูมิประเทศเดิมๆ ผืนดินแห้งแล้ง ภูเขาหัวโล้น ลำธารแห้งขอดและทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาล ต้องขอบใจร่างหุ่นยนต์ที่ทำให้เขาขับรถได้นานติดต่อกันหลายวันโดยไม่เหน็ดเหนื่อย ศรรู้สึกว่าวันเวลาเหล่านี้ช่างผ่านไปอย่างเชื่อช้าจนแทบทนไม่ไหว แล้วในที่สุด เขาก็มาถึง
          
                      พิกัด183.560 ใช้เวลา2สัปดาห์จากค่ายพักของเขา คือที่ซึ่งศรเคยเรียกว่าบ้าน
          
                      ทุ่งหญ้าสีน้ำตาลที่แห้งกรอบนั้นหายไปหมดแล้ว เหลือแค่ผืนดินแตกระแหงอันกว้างใหญ่ ศรจอดรถและมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของไม้สักต้น หรือคนสักคน เขาตัดสินใจนอนรอที่กระบะหลังรถ เขารอวันนี้มาหลายปี กับอีกแค่2-3ชั่วโมง หรือจะเป็นวัน เขาก็รอได้
          
                      ศรฆ่าเวลาโดยการเช็คข้อมูลในสมองกึ่งกลของตน และรู้สึกทึ่งกับจำนวนสนามรบที่เขาเคยเข้าร่วม เขาถูกเกณฑ์เป็นทหารตั้งแต่อายุ15 นานมากแล้ว
          
                      แสงแวบหนึ่งส่องเข้าตาของเขา ศรผุดลุกขึ้นอย่างตกใจพลางจ้องมองท้องฟ้า เมฆบางช่วงขาดหายไปจนแสงอาทิตย์ส่องลอดเป็นลำลงมาสู่พื้นดิน ชายหนุ่มหันมองไปรอบๆตัวรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่ได้เห็น แม้เพียงแวบเดียวเมฆจะกลับมาบดบังแสงดังเดิมก็ตาม
          
                      และแล้วเขาก็สังเกตเห็นเงาของบางสิ่งบางอย่างอยู่ห่างออกไปราว700-800เมตร เงาสูงเหมือนร่างคน ศรลุกขึ้นยืนและกระโดดลงจากรถจี๊ปทหาร เขาวิ่งสุดชีวิตไปยังเงานั้น
          
                      “ฟ้า..... ฟ้า.... ฟ้....”
          
                      คำสุดท้ายขาดหายไปเมื่อเขาวิ่งไปถึงจุดนั้น ศรลืมไปแล้วว่าเขาเคยจินตนาการภาพฟ้าไว้อย่างไร แต่ไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือหลุมฝังศพที่มีแท่งหินปักอยู่ด้านบน ยอดของแท่งหินสีเทาแก่นั้นแกะสลักเป็นนกพิราบที่กำลังกางปีกจะโผบินขึ้นสู้ท้องฟ้า ดวงตาไร้ชีวิตนั้นจ้องมองผืนนภาสีเทามานานปีจนเริ่มผุกร่อน ศรตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น เขาค่อยๆเดินไปที่หลุมศพนั่น เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างช่างหนักสมกับเป็นท่อนเหล็กจริงๆ ศรคุกเข่าลงช้าและอ่านคำแกะสลักที่เลือนราง

                                                                                 “ทิฆัมพร เสรีนุรักษ์
                                                              13 เมษายน 2761 – 19 พฤษภาคม 2820
                                                                              Right here waiting.”


          ศรรู้สึกเหมือนแสงสว่างทั้งหมดดับลงตรงหน้า นี่คือหลุมศพของฟ้า ฟ้าตายแล้ว ทำไมกัน... และสมองกึ่งดิจิตัลก็ให้คำตอบแก่เขาทันที มันคิดคำนวณอย่างรวดเร็วถึงสิ่งที่เขาไม่เคยนึกมาก่อน ปีนี้คือพุทธศักราชที่3124 กว่าสามร้อยปีที่เขาหลงใช้ชีวิตอยู่ในวังวนแห่งสงครามที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คอมพิวเตอร์คำนวณข้อมูลที่เพิ่งได้รับมาใหม่ให้เสร็จสรรพ สงครามที่แยกเขากับฟ้าออกจากกันนั้นจบสิ้นลงโดยใช้เวลาไม่ถึง10ปี ฟ้าคงจะกลับมาที่นี่ได้เมื่อประมาณปี2778 และรอคอยเขาเสมอมา ข้อความบนหลุมศพลอยขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง
      ‘Right here waiting’ แม้จะตายไปแล้ว ฟ้าก็ยังรอเขาอยู่ไม่ได้จากไปบนผืนฟ้ากว้าง เหมือนนกพิราบหินที่ทำได้เพียงเงยหน้ามองท้องนภาสีหม่น
          
                      ศรได้สติเมื่อเสียงหวีดหวิวของอากาศที่ถูกเสียดสีผ่านเข้ามากระทบโสตประสาท ข่าวสารจากหน่วยข่าวกรองถูกส่งเข้ามาทางวิทยุติดตัวโดยอัตโนมัติ ฝ่ายต่อต้านไม่ยอมรับข้อเสนอและยิงขีปอาวุธเข้าใส่ฐานทัพหลายแห่งของฝ่ายพันธมิตร อีกไม่นานฝ่ายพันธมิตรจะตอบโต้ สงครามครั้งใหม่กำลังจะปะทุขึ้น
          
                       เขาลุกขึ้นช้าๆ เพื่อเดินกลับไปที่รถจี๊ป ศรหันมามองหลุมศพเป็นครั้งสุดท้ายด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ

                                          “ลาก่อนเพื่อนรัก แล้วเราจะได้พบกันอีก เมื่อโลกนี้ไม่มีสงครามอีกต่อไป เราสัญญา”

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×